หากกล่าวถึงวงการกีฬาพาราไทย ทุกคนคงเห็นตรงกันว่า ประวัติ วะโฮรัมย์ เป็นหนึ่งในนักกีฬามากฝีมือที่ยังคงยืนหยัดและพร้อมสร้างประวัติศาสตร์หน้าต่อไปให้กับประเทศ เขาคือเจ้าของผลงานวีลแชร์เรซซิ่ง 7 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง จากพาราลิมปิก 5 สมัย และเชื่อว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกในพาราลิมปิกครั้งที่ 6 และครั้งสุดท้ายของเขาที่ Tokyo 2020 ซึ่งถูกประกาศเลื่อนไปจัดอย่างช้าที่สุดฤดูร้อนปีหน้า
แต่แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ ‘ประวัติ’ ไม่ได้สร้าง ‘ประวัติศาสตร์’ ของตัวเองขึ้นมาง่ายๆ โดยเฉพาะกับชีวิตที่มีข้อจำกัด ซึ่งนอกจากทำให้ใช้ชีวิตลำบากกว่าคนทั่วไป เมื่อเป็นการเล่นกีฬา ย่อมต้องลำบากขึ้นหลายเท่าตัว
ประวัติเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 3 คน จากครอบครัวในจังหวัดสระแก้ว ด้วยโปลิโอที่ขาขวาทำให้เดินเหินไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ เขาใช้ชีวิตวัยเด็กในโรงเรียนร่วมกับเด็กทั่วไปและเจอปัญหาคลาสสิกที่บุคคลทุพพลภาพหลายคนต่างเคยประสบ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่ออายุ 14 ปี ที่เขาได้ย้ายมาเรียนโรงเรียนศรีสังวาลย์ มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ชวนย้อนประวัติของ ‘ประวัติ’ ตั้งแต่หน้าแรก ถึงจุดเปลี่ยนที่พลิกประวัติของตัวเองไปหลายหน้าในระยะ 20 ปีของวงการกีฬาพาราไทย กระทั่งสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในนามของ “ประวัติ วะโฮรัมย์”ประวัติของประวัติ
“ตอนเรียนร่วมกับคนปกติลำบากมาก โดนเรียกว่าไอ้เป๋บ้างจนน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมเราต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ด้วย แต่พอมาอยู่ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ เหมือนได้เจอที่ของตัวเอง ได้อยู่กับคนพิการด้วยกัน ซึ่งบางคนเขาแขนขาด ขาขาดสองข้าง แต่ยังมีมานะ เลยคิดได้ว่าเราพิการแค่ขาข้างเดียว ยังมีอีกตั้งสองแขนหนึ่งขา ทำไมมานั่งน้อยใจ จึงเกิดเป็นแรงผลักดันให้ฮึดสู้ขึ้นมา”
นอกจากได้เริ่มชีวิตใหม่กับเพื่อนที่เข้าใจกันแล้ว โรงเรียนแห่งนี้ยังทำให้ประวัติได้รู้จัก ‘วีลแชร์เรซซิ่ง’ จากการเห็นรุ่นพี่ซ้อมอยู่ทุกวันๆ จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจบวกกับมีหน่วยก้านดี อาจารย์ผู้ฝึกสอนจึงทาบทามประวัติให้เข้าร่วมทีม ด้วยความที่อยากเป็นได้อย่างบรรดารุ่นพี่ จึงตอบรับไปทันทีโดยไม่นึกว่ามันจะกลายมาเป็นชีวิตของเขาในทุกวันนี้ แต่ไม่ใช่ว่าอยากเล่นก็จะเล่นได้เลย ก่อนจะได้ปั่นวีลแชร์บนลู่อย่างจริงจัง ประวัติถูกสั่งให้ซ้อมว่ายน้ำอยู่นานร่วมปี จนถึงวันที่คิดว่าพร้อมเต็มที่และได้ฝึกซ้อมบนถนนครั้งแรกร่างกายกลับไม่ได้พร้อมมากอย่างที่คิดไว้
“ผมคิดว่ามันง่าย เพราะเห็นรุ่นพี่ซ้อมแล้วดูสนุก แต่ไม่ใช่เลย ลงถนนครั้งแรกเป็นตะคริวไปครึ่งตัว มือที่ไม่เคยออกน้ำหนักก็แตกเป็นแผล พอออกสตาร์ทรุ่นพี่เขาทิ้งเราไปหมด ตอนนั้นทรมานมาก ปั่นไปด้วยร้องไห้ไปด้วยจนแทบถอดใจ พอเห็นรุ่นพี่ฝึกซ้อม เลยคิดได้ว่าครั้งหนึ่งเขาคงเคยรู้สึกแบบเรา และเขาก็ไปต่อได้ แต่เราเพิ่งเริ่มเอง ทำไมถึงยอมแพ้แล้ว”
เมื่อคิดดังนั้น ประวัติจึงฮึดสู้อีกครั้งและหันมาซ้อมอย่างหนักจนเอาชนะใจและขีดจำกัดทางร่างกายของตัวเองได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กชายที่ปั่นวีลแชร์ตามใครไม่ทัน สู่เจ้าของเหรียญทองพาราลิมปิก และผู้สร้างชื่อให้ประเทศไทยในเวทีระดับโลกมานับครั้งไม่ถ้วน
บทบาททีมชาติไทย
เส้นทางในฐานะนักกีฬาทีมชาติของประวัติเริ่มต้นจากการผ่านคัดเลือกให้เข้าแข่งขันเฟสปิกเกมส์ในปี 1999 หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น เอเชียนพาราเกมส์ ในปัจจุบันซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จ เพราะได้มา 1 เหรียญทองและ 1 เหรียญทองแดง แต่หากจะให้พูดถึงพาราลิมปิก ในตอนนั้นยังถือเป็นเรื่องใหญ่เกินฝันของประวัติมาก
“พาราลิมปิกคัดเลือกตัวแทนแปดคน ตอนนั้นผมไม่ได้คาดหวังว่าจะติดเลย เพราะเป็นครั้งแรกและเราก็ยังใหม่กับวงการ แต่ท้ายที่สุดชื่อของเราก็ถูกประกาศออกมาเป็นคนที่แปด คนสุดท้ายพอดี”
ซิดนีย์ 2000 จึงเป็นพาราลิมปิกแรกในชีวิตของประวัติ ด้วยความที่เป็นสนามระดับโลกครั้งแรก และแทบไม่รู้ฝีมือคู่แข่ง ประวัติจึงยึดคติว่าขอฝึกเต็มที่เอาไว้ก่อนในขณะที่นักกีฬาคนอื่นฝึก 15 รอบ ประวัติจะฝึก 25 รอบ และเมื่อลงสนามจริง การฝึกหนักที่ผ่านมา ก็เป็นเหมือนรางวัลให้ประวัติสามารถคว้าเหรียญกลับมาได้ถึง2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน
“ตอนได้เหรียญทองเหรียญแรกคิดว่าเราฝันไปหรือเปล่า ทำไมถึงได้ง่ายจัง แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นผลจากการฝึกหนักของเราทั้งสิ้น”
จากวันนั้นก็ผ่านมามากกว่า 20 ปีแล้ว จากพาราลิมปิกครั้งแรกเข้าสู่ครั้งที่ 6 สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความตื่นสนามที่น้อยลง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือประวัติยังคงซ้อมอย่างหนัก มีวินัย ปฏิบัติอยู่ในระเบียบการซ้อมอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพราะเชื่อว่านั่นคือเบื้องหลังความสำเร็จของตัวเอง
“ผมมองว่าวินัยการซ้อมคือสิ่งสำคัญ ถ้าไม่มีระเบียบของตัวเอง ผมก็คงไม่อยู่มาได้นานขนาดนี้ ”
แม้ซ้อมหนักไม่เปลี่ยน แต่วงการกีฬาพาราไทยเปลี่ยน
“เมื่อก่อนผมยอมเอารถยนต์ส่วนตัวไปเข้าไฟแนนซ์ เพื่อเอาเงินมาซื้อรถแข่งคันใหม่เลยนะ เพราะใจเรารักมาก จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ถอยคันใหม่มาไว้ก่อน”
ประวัติ ในฐานะรุ่นพี่ที่เตรียมจบการศึกษาตอบเคล้าเสียงหัวเราะ เมื่อถามถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปตลอดยี่สิบกว่าปีที่อยู่ในวงการกีฬาคนพิการ เมื่อย้อนกลับไปสมัยเริ่มแข่งครั้งแรก เขาพูดตรงๆ ว่าสมัยนั้นกีฬาคนพิการเป็นสิ่งที่ยังถูกมองข้ามและไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก เขาเองต้องสู้อย่างหนักเพื่อความเป็นเลิศของตัวเอง ไม่ให้ใครมาดูถูกได้ว่าผู้พิการเป็นภาระ แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็ดีขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอุปกรณ์และสนามฝึกซ้อมที่ครบครัน กระแสตอบรับจากสังคมก็ดีมากขึ้นเช่นกัน
แน่นอนว่าความสำเร็จของประวัติและนักกีฬาคนอื่นๆ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้พัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ รวมทั้งโอกาสในการเข้ามาเป็นพนักงานของสิงห์อีกด้วย
ประวัติในบทบาทพนักงานสิงห์ มีภารกิจหลักเป็นการ ‘ส่งเสริมวงการพาราไทย’ เขาใช้เวลานอกเหนือจากการแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งและการฝึกซ้อม มาทำงานในฐานะพนักงานของสิงห์ อย่างการถ่ายวิดีโอโปรโมตและทำกีฬาการกุศลต่างๆเพื่อนักกีฬาคนพิการ นอกจากนี้ยังเข้าร่วมทำกิจกรรมของสิงห์อย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมล่าสุดกับการร่วมวิ่งใน Singha Series Run 2019 สนามสุดท้าย #TeamParaThai ที่บรรดาเหล่านักวิ่งนอกจากจะได้วิ่งเพื่อสุขภาพแล้ว รายได้จากงานนี้ยังนำไปสมทบทุนพาราลิมปิกไทย และเป็นการร่วมให้กำลังใจเหล่านักกีฬาผู้พิการก่อนไปสู้ศึก Tokyo 2020 อีกด้วย
ทุกครั้ง ประวัติจะใช้โอกาสในฐานะพนักงานของสิงห์ โปรโมตกีฬาผู้พิการไปพร้อมๆ กัน ให้สังคมได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา หันมาสนใจ และส่งแรงเชียร์ให้นักกีฬาผู้พิการมากขึ้น
“ผมดีใจทุกครั้งที่ได้ทำงานในฐานะพนักงานสิงห์ เพราะนอกจากจะเป็นกิจกรรมเพื่อส่วนรวม ยังถือเป็นการโปรโมตกีฬาผู้พิการสู่คนอื่นๆ ในสังคมไปในตัว เพราะถึงกระแสการรับรู้ต่อกีฬาคนพิการจะดีขึ้น แต่ยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าพวกเราเล่นกันยังไง”
“เมื่อก่อนกีฬาผู้พิการไม่ถูกสนับสนุนมากอย่างนี้ แต่ช่วงหลังดีขึ้นมาก เพราะสิงห์ช่วยเหลือสนับสนุนสมาคมนักกีฬาคนพิการ โดยเฉพาะการมอบอุปกรณ์ที่สะดวกสบาย ทำให้ซ้อมได้ดีขึ้น และสร้างผลงานได้ดีขึ้นตามไปด้วย”
ในฐานะรุ่นพี่ ประวัติรู้สึกดีใจที่น้องๆ นักกีฬารุ่นหลังได้รับโอกาสมากกว่าตัวเอง แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อปัจจัยภายนอกทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่เหลือคือความตั้งใจจริง เขาอยากเห็นนักกีฬารุ่นใหม่ฝึกซ้อมด้วยความมุ่งมั่น โดยมองว่านอกจากการได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศแล้ว นักกีฬาคนพิการยังมีโอกาสได้เป็นแรงกระตุ้นแก่ผู้พิการคนอื่นๆ หรือผู้ที่กำลังท้อแท้กับชีวิตให้สู้ต่อไปได้ ดังนั้น ทุกคนจึงต้องเต็มที่กับหน้าที่นี้
“ตอนนี้หลายๆ อย่างดีขึ้นมาก อยู่ที่ตัวคนว่าจะตั้งใจแค่ไหน ผมมองว่าการเป็นนักกีฬาคือโอกาสการเป็นแบบอย่างให้ผู้พิการคนอื่นๆ และคนที่ท้อแท้กับชีวิตได้เห็นว่าผู้พิการแบบเราหากตั้งใจแล้วทำได้ คุณก็ต้องทำได้”
กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่สร้าง ‘ประวัติ วะโฮรัมย์’
“ผมคิดว่ากำลังใจเป็นอีกสิ่งสำคัญที่สร้างผมในทุกวันนี้ ทั้งจากครอบครัว จากทุกคน จากโค้ช ที่ทำให้มีแรงฮึดสู้ มีพลังฝึกซ้อม อยู่ตลอด ทำให้มุ่งมั่นในทุกการแข่งขัน ผลักดันจนประสบความสำเร็จ”
แม้เกิดมาด้วยร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ แต่ครอบครัวของประวัติสมบูรณ์พร้อม เขามีพ่อแม่และพี่ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจและสนับสนุนเสมอมา ตั้งแต่เล็กพ่อจะเอาขึ้นหลังไปส่งที่โรงเรียน คอยปกป้องเวลาเด็กคนอื่นมารังแก เป็นอย่างนั้นจนถึงวันที่ประวัติเข้าสู่โรงเรียนศรีสังวาลย์ สถานที่ที่ได้รับกำลังใจอีกมากมายจากเพื่อนคนพิการและจากโค้ชที่คอยฝึกสอนและแม้วันนี้พ่อของประวัติจะจากไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่ในวันที่ลูกชายคนเล็กที่คอยแบกขึ้นหลัง สร้างความภูมิใจด้วยการคว้าเหรียญรางวัลกลับมาให้ผู้เป็นพ่อ
“พ่อทันเห็นผมได้เหรียญทองตอนซิดนีย์ 2000 เขาดีใจมาก เพราะถึงลูกจะพิการ แต่คนพิการคนนี้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้”
ในวันนี้ ประวัติได้มีครอบครัวของตัวเอง ภรรยาและลูกทั้งสองคนก็กลายเป็นอีกกำลังใจหลักที่คอยผลักดัน และถึงแม้การฝึกซ้อมหนักจะทำให้ได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวน้อยไปบ้าง แต่ก็ขอบคุณที่ทุกคนเข้าใจและคอยให้กำลังใจผ่านสายโทรศัพท์
“ผมเป็นคนบ้าซ้อมมาก ถ้าเราไม่บ้ามากพอ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ พอบอกครอบครัวก็เข้าใจและคอยให้กำลังใจ”
ท้อได้แต่อย่าถอย สักวันจะสร้างตำนาน
‘ท้อได้แต่อย่าถอย’ เป็นคติที่ประวัติยึดเหนี่ยวมาตลอดชีวิตทั้งในฐานะคนพิการและนักกีฬา ซึ่งเขายอมรับว่าจากการฝึกหนักก็ทำให้นึกท้ออยู่เป็นประจำ แม้กระทั่งในทุกวันนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากคนเรามีความตั้งใจ ท้ายที่สุดก็ต้องทำได้ในสักวันหนึ่ง
“ทุกคนย่อมมีอุปสรรคต่างกันไป มีสิ่งที่ทำให้ท้อ แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ ทุกอย่างมีทางออก ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้ มัวแต่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ก็จะผ่านปัญหาที่เผชิญอยู่ไม่ได้ ถ้าเรามีความตั้งใจเสียอย่าง ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องทำได้ ขอเพียงแค่อย่าท้อ ผมเชื่อว่ามันต้องสำเร็จแน่นอน”
เขาเชื่อ เพราะได้พิสูจน์คติข้อนี้ด้วยตัวเองมาแล้ว จนถึงตอนนี้ ประวัติเชื่อว่าตัวเองได้ผ่านจุดสูงสุดในฐานะนักกีฬาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ ยืดระยะการเล่นมาได้ยาวนานขนาดนี้ และในโตเกียว 2020 แม้คาดไว้ว่าจะเป็นการทิ้งทวนในฐานะทีมชาติ แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะได้เหรียญรางวัลอะไรส่งท้าย อาจเพราะมองว่าความสำเร็จตอนนี้ก็เกินกว่าที่ตัวเองใฝ่ฝันไปมาก อีกทั้งสภาพร่างกายที่โรยราไปตามกาลเวลา
“เวลาแข่งผมไม่เคยคาดหวังรางวัลเลย เราเชื่อว่าถ้าจะได้มันก็ต้องได้ แต่ตอนแข่งต้องทำให้ดีที่สุดก่อน ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ถือว่าเราเต็มที่แล้ว”
แต่ไม่ว่าประวัติจะนำเหรียญทองจากพาราลิมปิกครั้งสุดท้ายของตัวเองมาให้ประเทศไทยได้หรือไม่ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ชื่อของ ประวัติ วะโฮรัมย์ ได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว ทั้งในบทบาทนักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติ และแรงบันดาลใจของคนไทย